Nightly Recharge VS Recovery pro

ถ้าหากคุณใช้ผลิตภัณฑ์ Polar เช่น Polar Vantage V2 หรือ แม้กระทั่ง Polar Grit X คุณอาจจะมีความสงสัยระหว่างคำสองคำนั่นก็คือ Nightly Recharge กับ Recovery Pro ในการวัดการฟืนสภาพของร่างกาย วันนี้ เรามีผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นสภาพของนักกีฬา Daniella Schafer Olstad จะมาอธิบายเกี่ยวกับความแตกต่างของค่าทั้งสองตัวให้เราได้เรียนรู้กัน และค่าใดเหมาะกับคุณ

ทำไม Polar Vantage V2 จึงมีทั้งสองฟีเจอร์ Nightly Recharge และ Recovery PRO

การวัดการฟื้นตัวนั้น มีวิธีการวัดที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล ซึ่งโพลาร์นั้นเราได้มีฟีเจอร์สำหรับทุกคน ทั้ง Nightly Recharge และ Recovery Pro นั้นเป็นฟีเจอร์ที่วัดการฟื้นตัวของร่างกาย ซึ่งมีพื่นฐานมาจากหลักทางวิทยาศาสตร์การกีฬาและการออกกำลังกาย รวมทั้งงานวิจัย ทำให้เป็นเครื่องมือที่ได้รับการยอมรับเกี่ยวกับการวัดการฟื้นตัวของร่างกาย

เราสามารถใช้ทั้งสองฟีเจอร์นี้ในการวัดการฟื้นตัวของร่างกายทุกๆวัน หรือ จะต้องเลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง

คุณสามารถเลือกใช้งานในการติดตามการฟื้นตัวของร่างกายแบบใดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น nightly Recharge หรือ Recvoery Pro คุณสามารถเปลี่ยนไปใช้ได้ตามที่คุณต้องการ แต่หากคุณต้องการจะเลือกใช้ฟีเจอร์ Nightly Recharge คุณยังคงสามารถทำการทดสอบ Orthostatic Test เพื่อประเมินการฟื้นตัวของร่างกายภายหลังจากการออกกำลังกาย ซึ่งถ้าคุณต้องการข้อมูลย้อนกลับอย่างรวดเร็ว Recovery Pro จะช่วยบอกข้อมูลการฟื้นตัวของร่างกายให้กับคุณ

อะไรคือความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง nightly Recharge และ Recovery Pro

Recovery Pro เป็นการวัดการควบคุมการทำงานของหัวใจด้วยระบบประสาทอัตโนมัติ โดยการทำ Orthostatic Test ซึ่งจะทำการวัดอัตราการผันแปรของอัตราการเต้นของหัวใจ RMSSD Rest และอัตราการผันแปรของหัวใจขณะยืน RMSSD Stand ซึ่งจะต้องทำการวัดจากการสวมสายคาดหน้าอกวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งข้อมูลจะเป็นการเปรียบเทียบกับข้อมูล Baseline ที่เก็บต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 28 วัน

เพื่อให้ข้อมูลที่ทำการวัดมีความน่าเชื่อถือ เราแนะนำให้ทำการทดสอบ Orthostatic Test ในตอนเช้า โดยการทำด้วยการควบคุมสภาพต่างๆให้เหมือนๆกันในทุกเช่า ถ้าอัตราการผันแปรของอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ในระดับปกติ แสดงว่าระบบหัวใจของคุณมีการฟื้นตัว แต่ถ้าอัตราผันแปรของอัตราการเต้นของหัวใจ HRV ต่ำกว่าหรือสูงกว่าปกติ นั่นแสดงว่า การฟื้นตัวของคุณอาจจะเกิดไม่สมบูรณ์

สิ่งนี้เราเรียกว่า ระดับของการฟื้นตัวของหัวใจ ซึ่งจะเป็นการวัดและให้ข้อมูลได้ในระยะเวลาอันสั้น นอกจากนี้ Recovery Pro ยังให้ข้อมูลเกี่ยวกับการฝึกซ้อมของคุณว่าเหมาะสม มากเกินไป หรือน้อยเกินไปหรือไม่ ซึ่งจะเป็นการวัดปริมาณการฝึกซ้อมและนำมาหาความสัมพันธ์กับการฟื้นสภาพของคุณโดยการใช้เมตริกต่างๆ เช่น แบบสอบถามที่อยู่ใน Polar Flow, ความล้าของกล้ามเนื้อ ความเมื่อยล้า และการนอนหลับ

Nightly Recharge เป็นสถานะซึ่งประกอบด้วย การเปลี่ยนแปลงของระบบประสาทอัตโนมัติ และการนอนหลับ ANS นั่นก็คือดูว่าระบบประสาทอัติโนมัติมีการผ่อนคลายภายหลังจากชั่วโมงแรกของการนอนหลับ เปรียบเทียบกับค่าปกติ ซึ่งค่า Baseline นั้นจะเก็บเป็นระยะเวลา 28 วัน และนำมาเปรียบเทียบ

ANS Charge นั้นเป็นการนำข้อมูลของ อัตราการเต้นของหัวใจ อัตราผันแปรของการเต้นของหัวใจ RMSSD และ อัตราการหายใจ Breathing Rate โดยการวัดด้วย Optical Sensor ที่บริเวณข้อมือขณะนอนดนหลับใน 4 ชั่วโมงแรกของากรนอนหลับ

แน่นอนว่าอัตราการเต้นของหัวใจนั้น มีผลมาจาก ANS Charge และ อัตราการหายใจต่ำ ดังนั้น ค่า ANS Charge ที่สูงนั่นแสดงว่า หัวใจของคุณมีการฟื้นสภาพที่ดี เพราะการเพิมขึ้นของอัตราการเต้นของหัวใจนั้นจะไปลดอัตรากรรผันแปรของอัตราการเต้นของหัวใจ นั่นแสดงว่าหัวใจมีการทำงานที่หนัก แม้ในขณะพักผ่อน แสดงว่าระบบประสาทอัตโนมัติ ANS ยังคงทำงานแม้ในขณะพักผ่อน ตรงกันข้อมถ้าอัตราการเต้นของหัวใจนั้นลดลง แสดงว่า ระบบประสาท ANS นั้นมีการผ่อนคลายลง ซึ่งนั่นแสดงว่าคุณมีการฟื้นตัวของร่างกายที่ดี

Sleep Charge เป็นการวัดปริมาณการนอนอัตโนมัติ ในระหว่างที่คุณหลับ ซึ่งจะมีค่าตัวเลข ที่เรียกว่า Sleep Score ซึ่งการวัดปริมาณการนอนหลับนั้น จะเปรียบเทียบกับ Baseline ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 28 วัน การใช้ข้อมูลจาก Nightly Recharge เป็นการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนการออกกำลังกายของคุณ ให้เหมาะสมกับการนอนหลับของคุณ และการใช้พลังงาน

พวกเขาออกแบบให้เหมาะกับรูปแบบของแต่ละคน เช่น ฟิตเนส หรือ นักกีฬา

การวัดการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติขณะนอนหลับนั้นเป็นวีการที่ง่ายและสะดวกในการวัดการฟื้นตัวของร่างกายและทำได้สะดวก ดังนั้น ถ้าคุณออกกำลังกายเป็นประจำ และต้องการความสมดุลระหว่างการออกกำลังกายและการพักผ่อน การทำงาน การสังสรรค์กับเพื่อน Nightly Recharge จะเหมาะกับคุณ

แต่ถ้าหากคุณต้องการมุ่งเป้าไปที่สมรรถนะของคุณเป็นหลัก Recovery Pro เป็นทางเลือกให้กับคุณ ด้วยเหตุผลที่ว่า นักกีฬาส่วนมากมักจะมีอัตรากรรเต้นของหัวใจที่ต่ำกว่า 60 ครั้งต่อนาที นั้นก็เพราะผลจากระบบประสาท พาราซิมพาเทติก ทำให้เป็นการยากที่จะทำการวัดการฟื้นตัวและการพัฒนาของระบบหัวใจและไหลเวียนโลหิต บางการศึกษายังพบว่า การทดสอบ Orhtostatic Test นั้นเป็นวิธีการที่จะดูการเปลี่ยนแปลงของอัตรากรผันแปรของอัตราการเต้นของหัวใจในการเปลี่ยนจากนอนกลายเป็นยืน ดังนั้นการทดสอบ Orthostatic Test จึงเป็นวิธีที่ทำสคัญในการติดตามสถานะของนักกีฬาว่ามีภาวะสุดเอื้อมหรือการฝึกเกินหรือไม่

มากกว่านั้นนักกีฬาบางคนยังไม่รังเกียจที่จะใช้สายคาดหน้าอกวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ในการทำ Orthostatic Test ซึงสายคาดหน้าอกของ Polar นั้น จะเป็นการวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ทำให้มีความแม่นยำมากในการวัดอัตราการผันแปรของอัตราการเต้นของหัวใจ สำหรับการทดสอบ Orthostatic Test

สิ่งที่เหมือนกันสำหรับ Nightly Recharge และ Recovery Pro

ทั้งสองวิธีนั้นเป็นการวัดการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ ANS ซึ่งจะควบคุมการทำงานของหัวใจ เมื่อมีการเพิ่มขึ้นของปริมาณการฝึกซ้อมหรือความเครียดทางจิตใจ การวัดอัตราการเต้นของหัวใจและอัตราการผันแปรของการเต้นของหัวใจนั้นเป็นวิธีทางอ้อมที่สามารถวัดการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติที่ควบคุมการทำงานของหัวใจ

ซึ่งทั้งสองฟีเจอร์นั้นใช้ข้อมูลทั้ง อัตราการผันแปรของการเต้นของหัวใจ ซึ่งจะสะท้อนการทำงานของระบบประสาท sympathetic และ parasympathetic ที่ควบคุมการทำงานของหัวใจ

แม้ว่าการวัดทั้งสองแบบอาจจะให้ผลที่แตกต่างกัน ระหว่าง Recovery Pro และ Nightly Recharge เพราะความแตกต่างระหว่างวิธีการวัด และ เมตริค ข้อมูลที่นำมาใช้ในการคำนวณ

เราจะใช้ข้อมูลจาก Recovery Pro และ Training Load Pro ได้อย่างไร

การฟื้นสภาพของระบบหัวใจนั้นเราสามารถประเมินได้จากการทดสอบ Orthostatic Test ซึ่งเป็นหลักสำคัญในการวัดการฟื้นสภาพของระบบหัวใจใน Recovery Pro นอกจากนี้ Recovery Pro ยังให้ข้อมูลในการฝึกซ้อมว่าคุณฝึกของคุณเป็นอย่างไร เหมาะสม หนักไปหรือน้อยไป

ซึ่งเป็นการผสมผสานข้อมูลประวัติในการฝึกซ้อม การฟื้นสภาพของระบบหัวใจ และ การวัดช้อมูลที่คุณสามารถรับรู้ได้ เช่น ความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อ ความล้า และการนอนหลับ ซึ่งข้อมูลทั้งหมัดจะถูกนำมาประมวลผลใน Training Load Pro

สถาะของ Cardio Load นั้นก็คือ Strain เป็นความสามารถที่คุณออกกำลังกายตลอดระยะเวลา 7 วัน นำมาเปรียบเทียบกับ Tolerance นั่นก็คือ ความพร้อมของคุณมีเท่าใดที่จะอดทนต่อการฝึกซ้อม เฉลี่ยเป็นระยะเวลา 28 วัน และนำมาประเมินเป็นความสามารถของร่างกายในการทนทานต่อการฝึกซ้อมของคุณ