การฝึกด้วยจักรยานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวิ่ง

Vina Sport-Wattbike

ในขณะที่คุณกำลังจะหายจากการบาดเจ็บ และต้องการเริ่มเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ เพิ่มความเร็ว หรือกำลังเริ่มต้นมองหาการผสมผสานการฝึกซ้อมในรูปแบบต่างๆ เพื่อเสริมสร้างสมรรถภาพร่างกายและจิตใจ การปั่นจักรยานนั้นเป็นสิ่งที่เหมาะมากสำหรับนักวิ่งในทุกระดับ หรือบางครั้งเราอาจจะเรียกว่า การฝึกแบบ Cross-Training นั่นเอง

ตั้งแต่การพัฒนาระบบพลังงานแบบแอโรบิก (อากาศนิยม) หรือระบบพลังงานที่ใช้ออกซิเจน หลังจากที่คุณเพิ่งจะหายจากการบาดเจ็บ วันนี้ผมมีรูปแบบการฝึกการปั่นจักรยานสามรูปแบบมาแนะนำกัน เพื่อการเสริมสร้างสมรรถภาพทางกายแบบก้าวกระโดด รวมทั้งยังช่วยเร่งความสามารถในการวิ่งของคุณ หากคุณฝึกไปถึงจุดที่สมรรถภาพของคุณไม่สามารถเพิ่มได้ การขี่จักรยาน เป็นทางเลือกหนึ่งในการเพิ่มความสามารถในการวิ่งของคุณ

สิ่งที่ควรคำนึงถึงก่อนที่คุณจะเริ่มต้น

อุปกรณ์พื้นฐานก็เป็นสิ่งจำเป็น เช่น รองเท้า หมวกกันน็อค และเสื้อผ้าสำหรับการขี่จักรยาน เพื่อให้การฝึกซ้อมของคุณตรงเป้าและเกิดประโยชน์สูงสุด นาฬิกาวัดชีพจร ก็เป็นสิ่งจำเป็น หรือ คอมพิวเตอร์สำหรับจักรยาน Cycling Computer การวัดอัตราการเต้นของชีพจร นั้นจะช่วยให้คุณฝึกซ้อมอยู่ในโซนการฝึกที่ถูกต้อง และทำให้คุณใช้ระยะเวลาในการเสริมสร้างและพัฒนาสมรรถภาพทางกายของคุณอย่างรวดเร็ว และป้องกันปัญหาในการฝึกเกิน นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณสามารถติดตามความก้าวหน้าในด้านสมรรถภาพทางกายของคุณ และปรับปรุงโปรแกรมการฝึกซ้อมได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ นาฬิกาวัดการเต้นของชีพจร และ GPS Cycling Computer ยังสามารถบอกค่าต่างๆที่จำเป็นเช่น

  1. ปริมาณการใช้ออกซิเจนสูงสุด VO2max
  2. ปริมาณพลังงานที่ใช้ไป Smart Calories
  3. ภาพรวมของการฝึกซ้อม Overall Training Benefit
  4. โหลดในการฝึกซ้อม Training Load
  5. การนอนหลับ Sleep Analysis
  6. ความเร็ว เพส และ ระยะทาง Speed Pace and Distance
  7. รอบขา Cycling Cadence
  8. พลังขา Power Metrics

การขี่ระยะไกล The Long Ride

ถ้าคุณเป็นนักวิ่งตั้งแต่ 5k จนถึงอัลตร้ามาราธอน การสร้างความสามารถของระบบแอโรบิก นับเป็นหัวใจที่สำคัญเป็นอย่างมาก ต่อการเพิ่มศักยภาพในตัวคุณ สำหรับการขี่จักรยานนั้น การออกกำลังกายในรูปแบบความหนักต่ำ Lower intensity Exercise เป็นระยะเวลายาวนาน บนจักรยานสามารถเป็นไปได้ ในขณะที่การวิ่ง 6 ชั่วโมงต่อการฝึกซ้อม 1 ครั้งนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย สำหรับการฝึกซ้อมในปัจจุบัน

การขี่จักรยานจะช่วยพัฒนาระบบความอดทน และยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บที่จะเกิดขึ้น ต่อกระดูก ข้อต่อ และกล้ามเนื้อ ได้ดีกว่าการวิ่ง คุณสามารถพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้อีกด้วย โดยการใช้มัดกล้ามเนื้อที่หลากหลายสำหรับการขี่จักรยานระยะไกลๆ

Image result for full marathon

การขี่คนเดียว

ถ้าคุณต้องการฝึกการขี่เดี่ยว หรือ Solo Ride คุณจะต้องเลือกเส้นทางที่มีความหลากหลาย ปะปนกัน เช่น ถนนเรียบ ทางลาดชัน หรือขึ้นเขา ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถไปยังโซนเป้าหมายของการฝึกซ้อมได้อย่างง่ายดาย พยายามใช้รอบขา ประมาณ 90 รอบต่อนที RPM ซึ่งจะช่วยให้กล้ามเนื้อของคุณไม่เมื่อยล้ามากหากจะต้องขี่ในระยะทางไกล และยังส่งผลดีต่อระบบหัวใจและไหลเวียน และคุณจะต้องคุมโซนของอัตราการเต้นของหัวใจ ให้อยู่ประมาณโซน 2 และ โซน 3 การที่เราใช้รอบขามาก เพื่อพยายามหลีกเลี่ยงการขึ้นไปนโซน 4 ในระหว่างการปีนทางลาดชัน ซึ่งเราจะต้องตระหนักว่า เรากำลังโฟกัสที่ระบบแอโรบิก ระยะเวลาในการขี่จักรยาน ไม่ว่าจะเป็นการขี่เดี่ยวหรือเป็นกลุ่มนั้น เราจะใช้เวลาส่วนใหญ่กับการฝึกประมาณ 5-6 ชั่วโมง

การขี่เพื่อการฟื้นสภาพ

หลังจากการแข่งขันหรือซ้อมอย่างหนัก การฟื้นสภาพด้วยการขี่จักรยานเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะจะช่วยป้องกันการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นได้ จากความล้าของกล้ามเนื้อ และแรงที่กระทำต่อกระดูกและข้อ หากเราเลือกวิธีที่จะฟื้นสภาพด้วยการวิ่ง ก็จะทำให้เกิดโอกาสที่เกิดการบาดเจ็บ ขึ้นได้ การฟื้นสภาพด้วยการขี่จักรยานจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก

รูปแบบการขี่เพื่อการฟื้นสภาพนั้นเราจะเลือกเส้นทางราบ ที่ไม่มีความชัน หรือคุณจะขี่บน Indoor Trainer ก็ได้ ขี่เป็นระยะเวลาประมาณ 45 นาทีถึง 1 ชั่วโมง และพยายามรักษาโซนของหัวใจให้อยู่ในโซน 1 และ 2 รอบขาในการปั่นที่ 90 รอบต่อนาที นั้นจะช่วยให้กล้ามเนื้อพยายามชับชองเสียที่สะสมอยู่ในกล้ามเนื้อ เพื่อไปกำจัด หลังจากที่คุณซ้อมหรือออกกำลังกายอย่างหนัก การฟื้นสภาพด้วยการขี่จักรยานนั้นจะช่วยให้คุณได้ประโยชน์สองเท่านั่นก็คือ ช่วยให้คุณฟื้นสภาพ แล้วยังส่งผลต่อระบบหัวใจและความฟัตของคุณอีกด้วย

การขี่แบบหนักสลับเบา

บางครั้ง การขี่จักรยานก็เปรียบเสมือนการเข้าไปในยิมสำหรับนักวิ่ง กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า กล้ามเนื้อก้น และกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว การขี่แบบหนักสลับเบานั้นจะช่วยให้คุณเพิ่มปริมาณการใช้ออกซิเจนสูงสุดได้

การขี่แบบหนักสลับเบานั้นคุณสามารถฝึกได้ทั้งการขี่จักรยานแบบอยู่กับที่  จักรยานในฟิตเนส หรือจักรยานจริงๆ ในการทดลองขึ้นเขา และปีไปสู่ยอดเขาโดยโปรแกรมการออกกำลังกายมีดังนี้ คือ รอบขาประมาณ 60-65 รอบต่อนาที และพยายามรักษาระดับของโซนอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่โซน 4 ในการฝึกแบบหนักสลับเบาด้วย สิ่งที่สำคัญของการฝึกนั่นก็คือเฟสของการฝึกซ้อมที่จะต้องแบ่งออกเป็นสามช่วง นั่นก็คือ การอบอุ่นร่างกาย  Warm Up และการคลายอุ่น Cool Down

อ่านบทความอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

บทความโดย มิสเตอร์โพลาร์