ในไม่กี่ปีที่ผ่านมา นักกีฬาจักรยานและบรรดาทีมโค้ช ต่างหาวิธีการในการทดสอบพลังในการขี่จักรยาน เพื่อใช้ในการกำหนดความหนักในโปรแกรมการฝึกซ้อมและระยะเวลาในการรักษาความเร็วได้อย่างเหมาะสม
วัตต์ นั่นก้คือค่าที่ใช้บ่งบอกถึงพลังของกล้ามเนื้อ อัตราในการปลดปล่อยพลังงานที่ถูกสร้างขึ้นจากกล้ามเนื้อ ในกีฬาจักรยาน นั้น สูตรในการคำนวณวัตต์ ก็คือ แรง x ความเร็วของบันไดถีบที่เกิดขึ้นนั่นเอง (อัตราเร็วเชิงมุม เหมือนที่เราเรียนในวิชาฟิสิกส์ v = wR
แน่นอนว่าในนักกีฬาจักรยานประเภทถนน ค่าพลังที่ออกมา Power Output ที่วัดได้ เมื่อปี 2018 ทำโดย Andre Greipel จากทีม German Lotto Soudal Sprinter ทำได้ 1903 W และความเร็วสูงสุดได้ 76.8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (จักรยานนะครับ) ในการขี่ตอนสปรินท์ช่วงสุดท้ายในสเตจที่ 6 ของ Tour Down Under ซึ่งค่าเฉลี่ยอยูที่ 1326 วัตต์ จากระยะทาง 90 กิโลเมตร ถ้าหากเราใช้เทคนิคในการ Benchmark ข้อมูลกับนักกีฬาต่างประเทศ นักกีฬาไทยจะทำอย่างไรให้ไปถึง 1300 วัตต์ นี่เป็นโจทย์ที่เราต้องพิจารณากันอย่างจริงจัง
ในการขี่ทางลาดชันสูงๆ ถ้านักกีฬาไทยคงจะนึกถึงดอยอินทนนท์ เรื่องของ น้ำหนักตัว กับพลังวัตต์ Relative Watts นั้นมีความสำคัญมาก นี่คือสิ่งที่เราจะต้องพิจารณาถึงด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น นักกีฬายอด มีพลังในการปั่นเฉลี่ยอยู่ที่ 500 วัตต์ น้ำหนักตัว 70 กิโลกรัม นักกีฬายอดจะมีพลังวัตต์สัมพัทธ์ เท่ากับ 500/70 ประมาณ 7.14 วัตต์ต่อกิโลกรัม แต่หากนักกีฬานิว มีพลังเฉลี่ยอยู่ที่ 500 วัตต์เช่นกัน แต่มีน้ำหนักตัว 80 กิโลกรัม นักกีฬานิวจะมีพลังวัตต์สัมพัทธ์ เท่ากับ 6.25 วัตต์ นั่นแสดงว่านักกีฬายอดมีความได้เปรียบในการขี่ในทางลาดชัน ในมิติของพลัง ดีกว่านักกีฬานิวนั่นเอง
จากนั้นภาพก็ตัดมายังสนามเวลโลโดรม ที่สภาพแวดล้อมมักจะถูกคบคุม นักกีฬาประเภทลู่ มักจะมีต้นขาที่มีผประสิทธิภาพสูง ในการสร้างพลังวัตต์ที่สูง ในช่วงเวลาอันสั้น ไม่กี่วินาที พกวเขาทำได้อย่างไร การฝึกแบบเฉพาะเจาะจง เช่น การฝึกแบบแอนแอโรบิก การฝึกความทนทานต่อปริมาณกรดแลคติก และสภาวะความเป็นกรดสูง การสปรินท์ รวมทั้งการฝึกความแข็งแรง
หากคุณรู้จักเซอร์คริส ฮอย สามารถระเบิดพลังได้ 2500 วัตต์ ที่ทำให้เขาขี่ด้วยความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นนักปั่นคนนึงที่ได้แชมป์โลกถึง 11 สมัย และแชมป์โอลิมปิก 6 สมัย เขามีต้นขาวัดขนาดได้ 68.5 เซนติเมตร ในขณะเดียวกัน ถ้าเราดู Anna Mars ชาวออสเตรเลีย สามารถสร้างพลังได้มากกว่า 1800 วัตต์ เธอเป็นแชมป์โลก UCI 11 สมัย 2 โอลิมปิก สามารถสร้างแรงกดลงไปที่บันได ด้วยขาข้างเดียว 235 กิโลกรัม
สิ่งสำคัญสำหรับนักกีฬาจักรยานประเภทลู่ นั่นก้คือการเลือกอัตราทดเกียร์ เช่น 60×12 จะได้ระยะทางในการั่น 10.5 เมตรต่อรอบ ในขณะที่เราเลือกอัตราทด 48×14 จะได้ระยะทาง 7.2 เมตรต่อรอบ นั่นหมายความว่า นักีฬาจะปั่นด้วยรอบขา 130-135 จะเทียบเท่า 160 rpm หากเราเลือกเกียร์ที่เล็กลง
Rober Forstermann จากเยอรมันเลือกใช้ความยาวขา 74 เซนติเมตรได้พลัง 700 วัตต์ ในการแข่งขันทีมสปรินท์ London 2012 แต่ในการแข่งขันเมื่อปี 2010 พบว่า สามารถทำได้ 700 วัตต์เท่ากัน แต่การเพิ่มพลังในระยะเวลาอันสั้น จะมีพลังงานถูกเปลี่ยนไปเป็นพลังงานความร้อนด้วยเช่นกัน นอกจากพลังงานกลแล้ว
ที่ศูนย์การทดสอบของสหพันธ์กีฬาจักรยานนานาชาติ UCI ที่เมือง ไอเกิล การทดสอบ 6Sec Peak Power และ Power Profile Test โดยแบ่งการทดสอบออกเป็นสามระยะเวลา 6 วินาทีพลังสูงสุด 30 วินาทีสปรินท์ และ 4 นาทีแอโรบิก การใช้โปรโตคอลเพื่อช่วยให้ผู้ฝึกสอนสามารถประเมินความสามารถของนักกีฬาจักรยานประเภทลู่ๆได้ และใช้การทดสอบซ้ำเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของนักกีฬา
จากการทดสอบในนักกีฬาจักรยานระดับสุดยอดพบว่า สามารถสร้างพลัง ได้ 25 วัตต์ต่อกิโลกรัม นั่นหมายความว่านักกีฬาชายน้ำหนักตัว 90 กิโลกรัมจะสามารถสร้างพลังในการขี่จักรยานได้สูงถึง 2250 วัตต์สำหรับนักกีฬาหญิงประมาณ 20 วัตต์ต่อกิโลกรัม

การทดสอบพลัง นั้นยังเป็นองค์ประกอบสำคัญในการค้นหานักกีฬาที่มีพรสวรรค์สำหรับกีฬาจักรยานที่เป็นที่นิยมใช้กันในหลายประเทศทั่วโลก แต่การใช้พลัง (วัตต์) ก็ไม่ได้ตอบทุกโจทย์สำหรับการฝึกซ้อม ในการแข่งขันปี 2000,2002 นักกีฬากลุ่มที่เร็วที่สุดในโลกนั้นไม่ได้ใช้พลังวัตต์สูงที่สุด
ความสามารถในการผสมผสาน ทั้งแทคติก เทคนิค รวมทั้งร่างกาย นั่นคือ เคล็ดลับสำคัญสุ่ความสำเร็จ วัตต์อาจจะเป็นเครื่องมือหนึ่งที่มีประโยชน์ แต่ไม่ได้หมายความว่า การที่คุณมีพลังขา ในการปั่นจักรยานที่สูง แล้วคุณจะสามารถไปได้อย่างรวดเร็วที่สุด —ของแบบนี้มันมีหลายปัจจัย
ข้อมูลจาก wattbike.com
อ่านเพิ่มเติม